Blogs

ชีวิต ความเป็นอยู่ ความทรงจำ

หลากหลายเรื่องราวชีวิตดำเนินตามกาลแห่งเวลา พาเราล่วงไหลไป เปรียบเสมือนกำลังลอยล่องฟ่องฟูในสายธาร
สาธารแห่งเวลากาล กาลนั้น กาลนาน ที่เราไม่อาจจะหยุดยั้งมันเอาไว้ได้ด้วยตัวเอง

ผมนั่งนิ่ง ท่ามกลางความมืดมิด จิตใจลอยล่องหวนนึกถึงความหลัง กำพืดเหล่ากอที่หล่อเลี้ยง
กระชับกำชัด ว่า “เราเคยเป็นใคร ไป-มา อย่างไร” อย่าได้ลืม

เศร้านักในใจ มายืนอยู่ตรงนี้ได้ ทำไม คนอื่น ใคร ไม่ตามผมมา
เพื่อนพ้องคนเก่า ใครเล่าจะรู้ ยามยากถามใถ่ คำตอบเดียวที่ได้ “ขายแรงงาน”

คนไม่เคย คงไม่รู้ คนที่ได้ดู คงเพียงแค่ได้เห็น คนที่เคยผ่าน อาจจะไม่เคยเป็น
ความยากลำเค็ญ จริง จริงแล้วมันเป็นเช่นไร

ความห่างใกล้ระยะไกล

เสียงเพลง The Distanceของ Travis ยังดังเจื้อยแจ้ว อยู่ในฉากหลัง นานเท่าไหร่แล้ว ที่ผมไม่ได้สำรวจตัวเอง แล้วถ่ายทอดความคิด ความนึก ออกมาเป็นตัวหนังสือ จากเบื้องลึกของจิตใจ

ครั้งล่าสุดที่ผมเขียนเรื่องราวทิ้งใส่ใน Web logคือเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2552 หรือเกือบปีแล้วที่ผมไม่ได้แวะเข้ามาอัพเดทเรื่องราวที่เว็บของตัวเองอีกเลย

แต่สำหรับอีกเว็บหนึ่งนั้น ยังเข้าดูแลอยู่ทกวันไม่ขาดสาย นั่นก็คือ www.thaicss.com นั่นแหละครับ

The Distanceที่กำลังบรรเลงเบาๆ ผ่านลำโพงออกมาประหนึ่งจะบอกว่า ระยะที่มันห่างแค่นี้ เกิดอะไรขึ้น ในทางกายภาพนั้น ผมกับ Web Logของตัวเองไม่ได้ห่างกันเลย แต่อาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ผมห่างหายจากเรื่องราวตรงนี้ไป

HTML5 เป็นสิ่งที่ผมต้องให้ความสนใจแล้วหรือยัง

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผมมุ่งมันที่จะศึกษาเรื่อง XHTML เป็นสำคัญ โดยที่คิดเพียงแค่ว่า เดี๋ยว HTML มันก็คงล้มมลายไป

แต่ไม่เลย

ระหว่างทางนั้น W3C ได้กระชาก HTML5 เข้ามาไว้ในอ้อมอก ครั้งแรก ผมนึกว่าจะเอามาดอง แต่ที่ไหนได้ W3C เอามาพัฒนาจริงๆ แต่เปลี่ยนแปลง Specification ตามสมควร เพื่อไม่ให้เกิดความทับซ้อนกับ XHTML2 ที่จะปล่อยออกมา

แน่นอน HTML5 มีอะไรหลายอย่างดี ดี ที่ XHTML ไม่มี เพราะความมุ่งหมายมันต่างกัน ก็คือ มันเอามาใช้งานคนละประเภทนั่นแหละครับ

ต่อไป ใครทำเว็บแบบไหน ก็ต้องมานั่งเลือกกันด้วยว่า จะเอา HTML5 หรือ XHTML2

วุ่นวาย ในความเงียบ

เป็นเพราะผมห่างหายจากการอ่านหนังสือไปนานหรือเปล่า ทำให้ผมเป็นเหมือนคนพูดจาไม่รู้เรื่อง หรือเพราะผมหมกมุ่นกับการเขียนโปรแกรมมากเกินไป ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

หรือ เพราะความจำเป็นของตัวตนที่มันต้องเป็นแบบนี้

อยู่ดีๆ วันก่อนผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาลอยๆ ขณะกำลังไขกุญแจเปิดห้อง ?กูมาเดินอยู่ตรงนี้ทำไมวะ? เป็นคำถามโง่ๆ ที่ไม่ต้องการคำตอบ อาการสงสารตัวเองเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน และวันนั้นทั้งวันก็ไม่ต้องเป็นอันทำอะไร เอาแต่คิดว่า ?กูมาอยู่ตรงนี้ทำไม?

มันเหมือนความบ้า ก็ใช่ เพราะว่ามันบ้าจริงๆ นี่เองที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นคงไม่เป็นอย่างที่เห็นนี่หรอกใช่ไหมครับ

นมโรงเรียน+นมมหาลัย=นมกิ๊กมหาภัยปนเปื้อนเมลามีน

แตกต่างกันอย่างไรบ้างกับการผลิตมาเพื่อจำหน่าย และผลิตมาเพื่อบริโภคในครัวเรือน อย่างแรก ก็บอกแล้วว่าผลิตมาเพื่อจำหน่าย อย่างที่สองก็ผลิตมาเพื่อเลี้ยงชีพในครอบครัว เฉกเช่นครอบครัวของผมเองที่ปลูกข้าวเพื่อกินในครัวเรือน แต่ทำสวนแตงร้านเพื่อขาย

มีครั้งไหนไหมที่ข้าวที่ปลูกไว้แล้วไม่พอกินได้ตลอดทั้งปี คำตอบคือไม่มี แล้วมีครั้งไหนไหม ที่สวนแตงทำออกมาแล้วราคาถูกจนไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไปจนไม่กล้าเก็บผลิตผล ไปขายเพราะเกรงว่าค่าน้ำมันรถจะทำให้ขาดทุนมากกว่าเดิม คำตอบคือ มี

ครอบครัวของผมทำ หมายถึง พี่ชาย พี่สาว ที่อยู่ที่บ้านทำ ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่แตงออกจากสวนเมื่อไปถึงตลาดแล้ว ได้กิโลกรัมละ 2 บาทเมื่อไหร่ นั่นคือหายนะอย่างแท้จริง

ทางโลก

-1-

มันแปลกๆ ในความรู้สึก อาจจะเป็นเพราะผมคิดไปเองหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเรื่องราวทั้งหลายที่หยิบยกเข้ามาใส่รวมกันเอาไว้นั้นมันต้อง ตรงตาม คำว่า “สุรา ความรักและนักสู้ประชาธิปไตย” ที่จั่วไว้หน้าปกหนังสือ หรือ จับมารวมๆ กันแล้วค่อยจั่วหัวตามเนื้อหา

แต่มันคือ “ทางโลก” ตามชื่อหนังสืออย่างที่ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ว่าจริงๆ เมื่ออ่านจบทั้งหมด มันเป็นทางโลกที่ทำให้ผมเข้าใจว่า นี่แหละคือชีวิตทางโลก ผมปิดหนังสือลงไป ผมกลับไม่รู้สึกอิ่ม เหมือนหนังสือของนักเขียนเดียวกันนี้อย่างหลายๆ เล่มที่เคยได้อ่าน (หรือทุกปก ที่ได้รวมขายนั่นแหละครับ) ผมไม่พยายามหาสาเหตุมาเข้าข้างตัวเองใด ใด ว่าทำไมผมไม่อิ่ม (สารภาพตรงๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอ่านไม่จบ) เพราะผมรู้ว่ามันคือ ทางโลก ตามที่ว่านั่นแหละ จึงได้รับความรู้สึกนั้น